ย้อนกลับในยุคหินช่วง 3,000 ปีก่อนคริสตกาลชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลีมาบดโดยใช้ครกที่ทำจากหินหยาบๆ ตำ นำไปผสมน้ำ แล้วนำไปเทลงบนหินร้อน ๆ เพื่อให้สุก ผลที่ได้คือขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ บ้างก็เล่าว่าพวกทาสในสมัยอียีปต์โบราณ ได้ทิ้งก้อนแป้งที่ผสมไว้แล้วลงไปในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ๆ ผลที่ได้คือแป้งที่เบา ฟู และรสอร่อย มีหลักฐานเช่น จิตกรรมฝาผนังในสุสานหลายๆแห่งมีภาพวาดรูปคนถือขนมปังบูชาเทพพระเจ้า
ในศตวรรษต่อมา วิวัฒนาการในศิลปะการทำขนมปังก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ชนชาติกรีกได้ประดิษฐ์หินโม่แป้งสาลี และผลิตแป้งออกมาถึงสี่ชนิด โดยหนึ่งในนั้นคือแป้งสาลีชนิดขาว (White flour) ซึ่งชนชาติกรีกนั้นใช่แต่จะเป็นผู้ผลิตขนมปังที่ทำจากแป้งสาลีชนิดสีขาวที่มีคุณภาพเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังได้ผลิตขนมเค้ก และขนมนานาชนิด โดยใช้ส่วนผสมกับนม น้ำมัน เหล้าไวน์ เนยแข็ง และน้ำผึ้งผสมเข้าไปด้วย
ซึ่งในสมัยก่อนโม่หินที่ใช้ตามบ้านมักมีขนาดเล็กและไม่จำเป็นต้องมีประจำทุกบ้านการโม่แป้งจำเป็นต้องอาศัยความใจเย็นและความชำนาญในระดับหนึ่ง เพราะผู้โม่ต้องคอยหยอดข้าว ถั่ว หรือมันที่แช่น้ำข้ามคืนจนนุ่ม ใส่ทีละช้อนน้อยๆ จะทำให้ได้เนื้อแป้งที่ละเอียด ส่วนน้ำที่หยอดไปพร้อมกันจะช่วยให้โม่ได้ง่ายขึ้น ค่อยๆใช้มือหมุนให้หินบดข้าวแป้งที่ถูกบดจนละเอียดแล้วจะไหลออกจากรอบโม่ลงคลองไปสู่ภาชนะที่รองใต้ปากโม่นำน้ำแป้งที่บดได้ใส่ถุงผ้าดิบหรือกระสอบ มัดปากถุงให้แน่น ทับด้วยของหนักเพื่อรีดน้ำออกจนเหลือแต่เนื้อแป้ง นำไปตากแดดจนแห้งก่อนนำมาใช้เรียกว่ากว่าจะได้แป้งมาต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว
แต่ในยุคปัจจุบันนี้นั้นไม่ต้องปาดเหงื่อลำบากขนาดนั้นแล้วด้วยเครื่องมือโม่แป้ง #Mockmill จาก #ประเทศเยอรมนี ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า 40 ปีในวงการเครื่องโม่แป้ง ที่วิจัย และพัฒนาเครื่องโม่แป้งให้เหมาะสมกับการใช้งานสำหรับมืออาชีพ
ที่ให้สามารถทำให้คุณทำอาหารได้ง่ายยิ่งขึ้น ใช้งานง่าย และทำความสะอาดง่าย
✅สามารถจุไส้ (ข้าวสาลี) ได้ถึง 1,100 กรัม
✅หินบดแบบ Corundum Ceramic
✅สามารถตั้งค่าความหยาบและความละเอียดได้
✅บดข้าวสาลีได้ 100 กรัมต่อนาที